วช. สนองพระราชดำริ หนุน ม.นเรศวร ศึกษาพันธุกรรม “มันม่วง” ลดการสูญพันธุ์
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้ประเทศไทย เพราะถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีความหลากหลายทางชีวภาพและสภาพทางภูมิอากาศ และตั้งอยู่ภายใต้อิทธิพลของมรสุมสองชนิด คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศและพรรณพืชหลายชนิด แต่ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้มีสภาพเสื่อมโทรม และมีแนวโน้มลดลงอย่างมาก กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงทอดพระเนตรเห็นปัญหา ทรงได้รับสั่งให้ดำเนินงานอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไม้เพื่อเป็นแนวทางหลักในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (อพ.สธ.) และการจัดตั้งธนาคารพืชพรรณ รวมถึงทรงสนับสนุนให้มีการรวบรวมพันธุ์พืชเฉพาะถิ่น พืชหายากและใกล้สูญพันธุ์ ตลอดจนประโยชน์ของพืชชนิดต่าง ๆ การทำเกษตรกรรม และเพื่อสนองพระราชดำริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงได้สนับสนุนทุนวิจัย เพื่อรวมอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรพันธุกรรมพืชและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า วช. ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะหน่วยงานสนองพระราชดำริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้ นายพุทธพงษ์ สร้อยเพชรเกษม นักวิชาการเกษตร รองศาสตราจารย์พีระศักดิ์ ฉายประสาท แห่งคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ทำการศึกษาวิจัยเรื่องการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพและขยายพันธุ์มันม่วง (Dioscorea alata L.) เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน สนองโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) เพื่อศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของมันป่าด้วยเทคนิคเครื่องหมายดีเอ็นเอ ศึกษาวิธีการขยายพันธุ์และวิธีการปลูกมันป่าเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี เพื่อศึกษาวิธีการทำเมล็ดเทียมสำหรับการอนุรักษ์พันธุกรรมและขยายพันธุ์มันป่า พร้อมวิเคราะห์ปริมาณสาระสำคัญ ได้แก่ saponin และ diosgenin พร้อมสร้างแปลงรวบรวมสายพันธุ์มันป่าสำหรับเป็นธนาคารพันธุกรรมพืชต่อไป
รองศาสตราจารย์พีระศักดิ์ ฉายประสาท กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยโครงการดังกล่าวพบว่า มันป่า มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน น้ำตาล วิตามิน แคลเซียม โซเดียม ไฟเบอร์สูง
แคโรทีนอยด์ และแอนโทไซยานินรวมอยู่ ทั้งนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระในการป้องกันและยับยั้งลโรคเบาหวาน รวมถึงสามารถลดระดับไขมันในเลือด นอกจากนี้การรับประทานมันเลือดยังสามารถช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศ
และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจ ได้อีกด้วย
ทีมวิจัยได้ทำการสำรวจและจำแนกชนิดของมันป่า พบว่า มันป่า มีอยู่ด้วยกัน 13 ชนิด ในเขตภาคเหนือตอนล่างของประเทศ แบ่งตามลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ 7 ชนิด โดยแบ่งเป็นการใช้ประโยชน์ทางอาหาร 5 ชนิด อาทิ กลอย มันเลือด มันแซง มันมือเสือ และมันคันขาว และการใช้ประโยชน์ทางเภสัชกรรม 2 ชนิด ได้แก่ กลิ้งกลางดง และยั้ง
รองศาสตราจารย์พีระศักดิ์ ฉายประสาท กล่าวทิ้งท้ายว่า ผลสำเร็จจากโครงการวิจัยนี้มีส่วนช่วยป้องกันการสูญพันธุ์เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
รวมถึงส่งเสริมให้คนในชุมชนตระหนักและหวงแหนที่จะร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางพันธุกรรม ตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายในประเทศอย่างยั่งยืน ส่งเสริมความรู้การใช้ประโยชน์ เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยสร้างความมั่นคงทางอาหารบนฐานความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต