ม.เกริก จัดประชุมวิชาการนวัตกรรมและเทคโนโลยีฯ ครั้งที่ 20 ระดมสมองสร้างคน สร้างชาติ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
มหาวิทยาลุยเกริก ตอกย้ำปรัชญาความรู้คู่คุณธรรม จัดประชุมวิชาการนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสังคมที่ยั่งยืน ครั้งที่ 20 มุ่งประสานแนวร่วมทั้งระดับชุมชนและระดับนานาชาติ บูรณาการองค์ความรู้ หนุนบุคลากรที่มีจริยธรรม เพื่อแลกเปลี่ยนนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพ นำไปใช้ได้พัฒนาชุมชนจนถึงระดับประเทศได้อย่างมั่นคงยั่งยืน
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานเปิดงาน กล่าวว่า การประชุมเกริกวิชาการระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 20 ประจำปี พ.ศ.2567 ภายใต้หัวข้อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสังคมที่ยั่งยืน หรือ Innovation and Technology for a Sustainable Society ในครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มุ่งเน้นยกระดับศักยภาพของประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือคุณภาพชีวิตของประชาชน อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม ว่าด้วยการใช้งานวิจัยและนวัตกรรมแก้ไขปัญหาของประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ข้อมูล ความรู้ และวิทยาการต่างๆ เพื่อบรรลุผลสัมฤทธิ์ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ได้เปิดโอกาสให้คณาจารย์ นักวิจัย นักศึกษา และภาคส่วนต่างๆ รวมมากกว่า 1,000 คนได้มาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และนำเสนอองค์ความรู้ที่ผ่านกระบวนการศึกษา ค้นคว้าวิจัย จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริง
ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาชนในการทำงานร่วมกัน
หัวข้อการประชุมยังได้ประยุกต์ยุทธศาสตร์ต่างๆ ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 มาต่อยอดเพื่อทำให้การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ของประเทศบรรลุวัตถุประสงค์ อาทิ กลยุทธ์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมแบบมุ่งเป้า เพื่อให้เกิดการยกระดับกระบวนการผลิต กลยุทธ์การสร้างความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ และดิจิทัล อีกทั้งกลยุทธ์การพัฒนาบุคลากร การศึกษา การวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม ให้มีคุณภาพเพียงพอ และปรับตัวได้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรมและบริการในพื้นที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและบริการได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูงเพื่อพลิกโฉมประเทศไปสู่การขับเคลื่อนที่ใช้นวัตกรรมเป็นฐาน เป็นต้น
“การประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยเกริกจัดขึ้นครั้งนี้ได้ให้โอกาสนักวิจัยทั้งระดับชุมชน ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนักวิจัยต่างชาติเข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างกัน เห็นได้จากการนำผลการวิจัยที่คณาจารย์และนักวิจัยชุมชนร่วมกันทำการวิจัยเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่นมานำเสนอ ร่วมกับการบรรยายพิเศษจากนักวิชาการของสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมมีโอกาสรับฟังทัศนะ แนวคิด รวมทั้งมุมมองใหม่ของประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์กับบริบทของประเทศไทย สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ร่วมประชุมสามารถเรียนรู้ตัวอย่างความสำเร็จในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการพัฒนาสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิต ช่วยส่งเสริมให้เกิดนักคิด นักสร้างสรรค์ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ที่เป็นคนดี มีจริยธรรม คุณธรรม มีศักยภาพในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน รวมไปถึงประโยชน์ต่อรัฐที่จะได้นำไปปรับใช้เพื่อกำหนดนโยบายของภาครัฐ และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากเกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยที่เราจะได้ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้ตรงประเด็นแล้ว ในทางปฏิบัติยังช่วยให้การพัฒนาชาติบ้านเมืองดำเนินไปอย่างมั่นคง ประชาชนอยู่ดีเป็นสุข บรรลุเป้าหมายความยั่งยืนของประเทศต่อไป” ประธานสภาผู้แทนราษฎรกล่าว
รศ.สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า การจัดประชุมเกริกวิชาการได้ดำเนินการมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 ในแต่ละปีมหาวิทยาลัยจะกำหนดหัวข้อการประชุมให้สอดคล้องกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ สังคม การเมือง แนวทางการพัฒนาประเทศ รวมทั้งกระแสโลก เพื่อค้นหาคำตอบหรือทางออกที่เหมาะสมกับบริบทในแต่ละสถานการณ์ โดยยังคงอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่ว่า “องอาจด้วยความรู้ คู่คุณธรรม” และปรัชญาของมหาวิทยาลัย คือ “ความรู้ทำให้องอาจ” โดยในปีนี้ได้จัดการประชุมฯ ในวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2567 หัวข้อการประชุมคือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสังคมที่ยั่งยืน อันเนื่องมาจาก ปัจจุบันโลกกำลังเผชิญปัญหาหลายด้าน เช่น ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเสื่อมสภาพของระบบนิเวศ ความไม่มั่นคงทางการเมือง ปัญหาด้านเทคโนโลยีและความเป็นส่วนตัว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ฯ ซึ่ง ม.เกริก เล็งเห็นถึงกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกยุคปัจจุบันนี้ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม อีกทั้งทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน ที่จะมาช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนในสังคม ช่วยรักษาสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทำให้การเจริญเติบโตเป็นไปด้วยความมั่นคง ยั่งยืน
“มหาวิทยาลัยเกริกเล็งเห็นว่าเทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจ ช่วยสร้างงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการพัฒนาแบบยั่งยืน จึงเปิดเวทีให้คณาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาวิชา ได้มาแลกเปลี่ยนผลการวิจัยหรือข้อค้นพบใหม่ที่จะช่วยให้สังคมมีองค์ความรู้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลง มีการนำข้อค้นพบใหม่จากผลวิจัยไปสร้างสรรค์ต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่เกิดคุณูปการต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเห็นได้ภายในงานได้มีการนำเสนอผลงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น หรือ CBR ซึ่งม.เกริก ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 10 ปี จำนวน 3 ผลงาน ได้แก่ 1.การสร้างคุณค่าเชิงพหุวัฒนธรรมด้วยอาหารท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาตำบลพิมลราช จังหวัดนนทบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยว 2.การพัฒนาร้านค้าหน้าบ้านสู่การยกระดับเศรษฐกิจฐานราก โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนหน้าท่าอากาศยานด้านใต้เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และ 3.การพัฒนาทักษะชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พื้นที่ ต.ลำโพ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ผลงานทั้ง 3 ได้รับการยอมรับว่าแก้ปัญหาให้ชุมชน ยกระดับชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ดี” รศ.สุพัฒน์ กล่าว
รองอธิการบดีฯ ม.เกริก กล่าวต่อว่า ภายในงานยังจัดบรรยายพิเศษจาก Mr.Umi Mahmudah นักวิชาการจากประเทศอินโดนีเซีย หัวข้อ From Local Wisdom to Global Goals : Bridging Innovation and SDGs in Indonesian Villages จัดการนำเสนอผลงานวิจัยทางวิชาการทั้งระดับชาติและนานาชาติของคณาจารย์จาก ม.เกริก มหาวิทยาลัยเครือข่าย นักวิชาการอิสระ และนักศึกษาที่ค้นคว้าในรูปแบบ Oral และ Poster กว่า 70 ผลงาน ผู้เข้าร่วมการประชุมจากสถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ประชาชนทั่วไป สามารถนำผลการวิจัยซึ่งเป็นองค์ความรู้ใหม่ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ได้เป็นอย่างดี
“กล่าวโดยสรุป การจัดประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติครั้งนี้ ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยน แบ่งปันประสบการณ์ ความรู้ และช่วยเสริมสร้างสังคมให้เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือในการทำผลงานทางวิชาการระดับชาติและนานาชาติ โดยไม่ข้ามผ่านชุมชนท้องถิ่นซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน โดยไม่ละทิ้งคุณธรรมอันดีงาม” รศ.สุพัฒน์ฯ กล่าวในตอนท้าย