สสว. และ สำนักงาน ป.ย.ป. ร่วมลงนามเอ็มโอยู เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนากฎหมายและมาตรการต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการเติบโตของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ภายใต้แนวคิด “Next Level SME: ปลดล็อกกฎหมาย ลดภาระ สร้างโอกาส เพื่อ เอสเอ็มอีไทย
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการสำนักงาน รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กล่าวภายหลังพิธีลงนามความร่วมมือระหว่าง สสว. และ สำนักงาน ป.ย.ป. ว่า
ความร่วมมือครั้งนี้ กำหนดแนวทางการพัฒนาไว้ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ 1. การปลดล็อกกฎหมาย กฎหมายและระเบียบหลายฉบับที่ยังล้าสมัย ไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ที่เปลี่ยนไป บางข้อกำหนดมีความซับซ้อน ทำให้เอสเอ็มอีต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ไม่จำเป็น ความร่วมมือนี้จะช่วย ทบทวนและปรับปรุงกฎหมายให้กระชับขึ้น คล่องตัวขึ้น และสอดรับกับโลกธุรกิจยุคใหม่ 2. การลดภาระ เนื่องจากเอสเอ็มอี มักใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากไปกับขั้นตอนทางกฎหมายที่ซับซ้อน ตั้งแต่การขออนุญาตจดทะเบียนธุรกิจไปจนถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ข้อตกลงนี้จึงมุ่งลดเงื่อนไขที่ยุ่งยาก ลดต้นทุนแฝง และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และ 3. การสร้างโอกาส การสนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
“อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ ได้แก่การพัฒนากลไกช่วยเหลือ การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และการส่งเสริมให้ ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขยายธุรกิจ“
รักษาการ ผอ.สสว. เผยอีกว่า เอสเอ็มอีคือฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจไทย คิด เป็นกว่า 35% ของ GDP และเป็นแหล่งจ้างงานที่สำคัญของประเทศ สร้างงานกว่า 12.8 ล้านตำแหน่ง คิดเป็น สัดส่วนมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของการจ้างงานรวมในประเทศ ทั้งยังช่วยกระจายรายได้สู่ครัวเรือนและชุมชนต่าง ๆ ทั่ว ประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ มีความคล่องตัวและปรับตัวได้เร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งบ่มเพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ที่ผ่านมากฎหมายและกฎระเบียบหลายฉบับ ยังเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ สสว. จึงต้องเร่งปรับปรุงและทำให้กฎหมายเหล่านี้เอื้อต่อการเติบโตของเอสเอ็มอีมากขึ้น
“แนวทางสำคัญที่ สสว. กำลังดำเนินการ เช่น ระบบ SME One ID จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถ เข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเสนอปรับปรุงมาตรการด้านภาษีและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อจูงใจให้ มุ่งมั่นร่วมกันว่า ภาครัฐต้องทำให้กฎหมายเป็นเครื่องมือส่งเสริมเอสเอ็มอี ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเติบโต ผ่านมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นรูปธรรม เช่น ปรับปรุงกฎหมายที่ซ้ำซ้อนและเป็นอุปสรรค ลดขั้นตอนทางกฎหมายและภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สนับสนุนให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพิ่มโอกาสในการขยายตลาดและเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจ ส่งเสริมให้เอสเอ็มอี ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการดำเนินธุรกิจ”
นางชุติมา หาญเผชิญ ผู้อำนวยการ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เผยว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นการผลักดันเอสเอ็มอีที่มีความต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี เพื่อหนุนแข่งขันได้ในเวทีโลก
“ภายใต้บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ สสว. และ สำนักงาน ป.ย.ป. จะเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ เป็น ระยะเวลา 3 ปี จะมีการประเมินและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนและ ผู้ประกอบการเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง”
บันทึกข้อตกลงฉบับนี้ จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับปรุงโครงสร้างกฎหมายเพื่อให้เอสเอ็มอีไทย สามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้น ลดข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น และเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายธุรกิจ ได้อย่างเต็มศักยภาพ
"Next Level SME" จึงไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ที่ภาครัฐพร้อมขับเคลื่อนเพื่อให้เอสเอ็มอีไทยก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแข็งแกร่ง ภายใต้กรอบกฎหมายที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ และส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขัน ได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน
โดยประชาชนและผู้ประกอบการสามารถติดตามความคืบหน้าของโครงการได้ผ่านทางเว็บไซต์ของ สสว. ที่ https://www.sme.go.th และ เว็บไซต์ของสำนักงาน ป.ย.ป. ที่ https://sto.go.th รวมถึงช่องทางการ สื่อสารอื่น ๆ ของทั้งสองหน่วยงาน” ผอ. สำนักงาน ป.ย.ป. กล่าวปิดท้าย